วันศุกร์ที่ 4 มีนาคม พ.ศ. 2559

ผีซ้ำด้ำพลอย

สํานวนสุภาษิตนี้ มักจะมีคนเขียนเป็น “ผีซ้ำด้ามพลอย” ซึ่งที่จริงแล้วไม่ถูกต้อง ที่ถูกต้องเป็น “ผีซ้ำด้ำพลอย” มีความหมายว่าเมื่อเกิดปัญหาอย่างใดอย่างหนึ่งอยู่แล้ว แต่ก็มีมีเรื่องราวหรือปัญหาเข้ามาเพิ่มซ้ำเติมให้หนักกว่าเดิมอีก
ที่มาของสํานวน คำว่า “ด้ำ” เป็นภาษาถิ่นของอีสาน หมายถึง ผีเรือน หรือเทวดาประจำบ้าน สำนวนนี้เปรียบเปรยถึงบุคคลในบ้านที่มีปัญหาอยู่แล้ว แต่ผีบ้านผีเรือน (ด้ำ) กลับพาโชคร้ายมาซ้ำเติม

ดีงาม


ปิดทองหลังพระ
สํานวนสุภาษิตนี้ หมายถึงการที่บุคคลกระทำการใดๆที่เป็นประโยชน์อย่างมากกับกิจกรรมนั้นๆ แต่ผู้อื่นจะไม่ทราบว่าประโยชน์ที่เกิดขึ้นมานั้น ใครเป็นผู้ทำให้
ที่มาของสํานวน เปรียบเปรยถึงการปิดทองที่ด้านหลังของพระพุทธรูป ซึ่งคนส่วนใหญ่จะมองแต่ทางด้านหน้าของพระพุทธรูป แต่การปิดทองทั่วทั้งองค์พระจะทำให้องค์พระมีความสวยงามครบทุกมิติ



นอนหลับไม่รู้ นอนคู้ไม่เห็น

สํานวนสุภาษิตนี้ หมายถึงคนที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่ ไม่รู้เรื่องราวที่ได้เกิดขึ้นใดๆ มักใช้เป็นข้ออ้างเวลาไม่อยากรับผิดชอบสิ่งที่เกิดขึ้น
ที่มาของสํานวน เปรียบเปรยถึงคนที่นอนหลับเมื่อเกิดเหตุการณ์ใดๆขึ้น ก็จะไม่ได้รับรู้เรื่องราวใดๆ


น้ำน้อยย่อมแพ้ไฟ

สํานวนสุภาษิตนี้ หมายถึงสิ่งบางอย่างที่มีพละกำลังหรือสิ่งของน้อยกว่า มักจะพ่ายแพ้กับพวกที่มีกำลังมากกว่า
ที่มาของสํานวน เปรียบเปรยถึงไฟที่ลุกโชนอย่างหนัก หากนำน้ำจำนวนน้อยเข้าไปดับ ก็ไม่สามารถดับไฟได้ สำนวนนี้ปัจจุบันเริ่มมีการนำมาใช้เปรียบเทียบกับสิ่งที่ดีๆ แต่มีส่วนน้อย มักจะพ่ายแพ้ต่อสิ่งเลวร้ายแต่มีจำนวนมากกว่า


น้ำตาลใกล้มด

สํานวนสุภาษิตนี้ หมายถึงหญิงชายหากอยู่ใกล้ชิดกันบ่อยๆ ก็มีโอกาสที่จะชอบพอกันได้ มากกว่าอยู่ห่างกัน
ที่มาของสํานวน เปรียบเปรยถึงมดเป็นสัตว์ที่ชอบน้ำตาล หากมดอยู่ใกล้น้ำตาลแล้วก็อดไม่ได้ที่จะเข้าใกล้น้ำตาล ปัจจุบันสำนวนนี้มักเปรียบเปรยถึง คู่รักที่ห่างกันไป และไปเจอเพศตรงข้ามคนใหม่ที่ใกล้ชิดกว่า โอกาสที่จะนอกใจก็มีมากขึ้น

อักษรนำ 1.3 อักษรสูงนำอักษรต่ำ

ระวังให้ดี


น้ำเชี่ยวขวางเรือ

สํานวนสุภาษิตนี้ หมายถึงการกระทำที่เป็นการขัดจังหวะของเหตุการณ์หนึ่งหรือขัดอารมณ์ของคนอื่น ที่มีผลกระทบรุนแรง ก็อาจส่งผลให้คนที่เข้าไปขัดจังหวะเกิดอันตรายขึ้นได้
ที่มาของสํานวน เปรียบเปรยถึงหากพายเรือผ่านแม่น้ำที่ไหลเชี่ยวมากๆ เรือที่พายอาจต้านแรงไม่อยู่และเกิดล่มได้โดยง่าย สำนวนนี้บางครั้งก็เรียกว่า “น้ำเชี่ยวอย่าเอาเรือไปขวาง” จะมีความหมายในลักษณะหลีกเลี่ยงไม่เผชิญกับเหตุการณ์อันตรายนั้นๆ หรือรอให้เหตุการณ์นั้นสงบลงก่อน

ใช้ให้ถูกนะคะ


น้ำขึ้นให้รีบตัก

สํานวนสุภาษิตนี้ หมายถึงเมื่อมีโอกาสดีที่ผ่านเข้ามา ให้รีบฉวยโอกาสอันนี้และเก็บเกี่ยวผลประโยชน์อย่างเต็มที่ ก่อนที่ช่วงเวลาดีๆนี้จะผ่านไป
ที่มาของสํานวน เปรียบเปรยถึงสมัยโบราณที่มีช่วงน้ำขึ้นและน้ำลง หากช่วงน้ำขึ้นก็ให้รีบตักน้ำมาตุนไว้ เนื่องจากเวลาน้ำลงจะตักน้ำได้ลำบากกว่า


น้ำกลิ้งบนใบบอน

สํานวนสุภาษิตนี้ มีความหมายเหมือนกับ “น้ำกลิ้งบนใบบัว” หมายถึงคนที่มีจิตใจกลับกลอก ปลิ้นปล้อน พูดแก้ตัวไปเรื่อย
ที่มาของสํานวน เปรียบเปรยถึงน้ำที่กลิ้งอยู่บนใบบอน จะมีลักษณะเป็นก้อนดิ้นไปดิ้นมา ปัจจุบันมักถูกนำมาเปรียบเปรยกับสาวที่มีจิตใจไม่มั่นคง



อย่าอ่านผิดนะ



วันเสาร์ที่ 27 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559

พระมหาชนก

เพื่อความเข้าใจยิ่งขึ้นสำหรับวิชาภาษาไทยของเรา

รามเกียรติ์ มินิแอนิเมชัน ชุดที่ 1

ชมกันแบบต่อเนื่องไปเลย

ลองดูคะ


คำวิเศษณ์

ความหมายของคำวิเศษณ์


คำวิเศษณ์  หมายถึง คำที่ใช้ประกอบหรือขยายคำนาม  สรรพนาม  คำกริยา  หรือคำวิเศษณ์ เพื่อให้ได้ใจความชัดเจนและละเอียดมากขึ้น  เช่น
        -   คนอ้วนกินจุ
    ("อ้วน" เป็นคำวิเศษณ์ที่ขยายคำนาม "คน" "จุ" เป็นคำวิเศษณ์ที่ขยายคำกริยา "กิน")
        -   เขาร้องเพลงได้ไพเราะ
            ("ไพเราะ" เป็นคำวิเศษณ์ที่ขยายคำกริยา "ร้องเพลง")
        -  เขาร้องเพลงได้ไพเราะมาก
           ("มาก" เป็นคำวิเศษณ์ที่ขยายคำวิเศษณ์  "ไพเราะ")
ชนิดของคำวิเศษณ์
 คำวิเศษณ์แบ่งออกเป็น  ๑๐  ชนิด ดังนี้
๑.  ลักษณะวิเศษณ์  คือ คำวิเศษณ์ที่บอกลักษณะต่างๆ เช่น  บอกชนิด  สี  ขนาด  สัณฐาน  กลิ่น  รส บอกความรู้สึก  เช่น  ดี  ชั่ว  ใหญ่  ขาว  ร้อน  เย็น  หอม  หวาน  กลม  แบน เป็นต้น  เช่น
          -  น้ำร้อนอยูในกระติกสีขาว
      -  จานใบใหญ่ราคาแพงกว่าจานใบเล็ก
๒.  กาลวิเศษณ์  คือ คำวิเศษณ์บอกเวลา  เช่น  เช้า  สาย  บ่าย  เย็น  อดีต  อนาคต  เป็นต้น เช่น
          -  พรุ่งนี้เป็นวันเกิดของคุณแม่
          -  เขามาโรงเรียนสาย
๓.  สถานวิเศษณ์  คือ คำวิเศษณ์บอกสถานที่  เช่น ใกล้ ไกล  บน  ล่าง  เหนือ ใต้  ซ้าย ขวา  เป็นต้น เช่น
            -  บ้านฉันอยู่ไกลตลาด
            -  นกอยู่บนต้นไม้
๔.  ประมาณวิเศษณ์  คือ คำวิเศษณ์บอกจำนวน หรือปริมาณ  เช่น  หนึ่ง  สอง  สาม  มาก  น้อย  บ่อย  หลาย บรรดา  ต่าง  บ้าง  เป็นต้น  เช่น
           -  เขามีเงินห้าบาท
           -  เขามาหาฉันบ่อยๆ
๕.  ประติเษธวิเศษณ์  คือ คำวิเศษณ์ที่แสดงความปฏิเสธ  หรือไม่ยอมรับ  เช่น  ไม่  ไม่ใช่  มิ  มิใช่  ไม่ได้ หามิได้  เป็นต้น  เช่น
            -  เขามิได้มาคนเดียว
            -  ของนี้ไม่ใช่ของฉัน ฉันจึงรับไว้ไม่ได้
๖.  ประติชญาวิเศษณ์  คือ  คำวิเศษณ์ที่ใช้แสดงการขานรับหรือโต้ตอบ เช่น ครับ ขอรับ ค่ะ เป็นต้น เช่น
           -  คุณครับมีคนมาหาขอรับ
           -  คุณครูขา  สวัสดีค่ะ
๗.  นิยมวิเศษณ์  คือ คำวิเศษณ์ที่บอกความชี้เฉพาะ เช่น นี้ นั่น โน่น ทั้งนี้ ทั้งนั้น  แน่นอน เป็นต้น เช่น
           -  บ้านนั้นไม่มีใคราอยู่
           -  เขาเป็นคนขยันแน่ๆ
๘.  อนิยมวิเศษณ์  คือ คำวิเศษณ์ที่บอกความไม่ชี้เฉพาะ เช่น ใด อื่น ไหน อะไร ใคร ฉันใด เป็นต้น เช่น
           -  เธอจะมาเวลาใดก็ได้
           -  คุณจะนั่งเก้าอื้ตัวไหนก็ได้
๙. ปฤจฉาวิเศษณ์ คือ  คำวิเศษณ์แสดงคำถาม หรือแสดงความสงสัย  เช่น ใด  ไร  ไหน อะไร  สิ่งใด  ทำไม เป็นต้น  เช่น
           -  เสื้อตัวนี้ราคาเท่าไร
           -  เขาจะมาเมื่อไร
๑๐.  ประพันธวิเศษณ์  คือ คำวิเศษณ์ที่ทำหน้าที่เชื่อมคำหรือประโยคให้มีความเกี่ยวข้องกัน เช่นคำว่า ที่ ซึ่ง  อัน  อย่าง  ที่ว่า  เพื่อว่า  ให้  เป็นต้น  เช่น
           -  เขาทำงานหนักเพื่อว่าเขาจะได้มีเงินมาก
           -  เขาทำความดี อัน หาที่สุดมิได้
หน้าที่ของคำวิเศษณ์  มีดังนี้คือ
๑.  ทำหน้าที่ขยายคำนาม เช่น
          -  คนอ้วนกินจุ        ( "อ้วน" เป็นคำวิเศษณ์ขยายคำนาม "คน")
          -  ตำรวจหลายคนจับโจรผู้ร้าย   ("หลาย" เป็นคำวิเศษณ์ขยายคำนาม "ตำรวจ")
๒.  ทำหน้าที่ขยายคำสรรพนาม เช่น
          -  เราทั้งหมดช่วยกันทำงานให้เรียบร้อย   ("ทั้งหมด" เป็นคำวิเศษณ์ขยายคำสรรพนาม "เรา")
          -  ฉันเองเป็นคนพูด   ( "เอง" เป็นคำวิเศษณ์ขยายคำสรรพนาม "ฉัน")
๓.  ทำหน้าที่ขยายกริยา  เช่น
                  -  เด็กคนนั้นนั่งดูนก     ("ดู"  เป็นคำกริยาที่ไปขยายคำกริยา "นั่ง")
๔.  ทำหน้าที่เหมือนคำนาม  เช่น
                 -  ออกกำลังกายทุกวันทำให้ร่างกายแข็งแรง   ("ออกกำลังกาย"  เป็นคำกริยา  ทำหน้าที่เป็นประธานของประโยค)
                 -  เด็กชอบเดินเร็วๆ           ("เดิน"  เป็นคำกริยา  ทำหน้าที่เป็นกรรมของประโยค)
๕. ทำหน้าที่เป็นตัวแสดงในภาคแสดง  เช่น
          -  เธอสูงกว่าคนอื่น

          -  ขนมนี้อร่อยดี